Sunday, October 7, 2012

The Girl From Ipanema



The Girl from Ipanema (Garota de Ipanema) ได้รับการเชิดชูให้เป็นเพลงที่ดังที่สุด ในบรรดาเพลงบอสซาโนวาทั้งหมด เป็นตัวจุดประกายปลุกกระแสความคลั่งไคล้ในลีลาดนตรีบราซิเลียนไปทั่วโลก ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษหกสิบ จากผลงานของนักแซ็กโซโฟนแจ๊ส Stan Getz ร่วมกับศิลปินชาวบราซิล Joao Gilberto โดยมีนักร้องสาว Astrud Gilberto เป็นผู้ขับขาน ในอัลบั้ม Getz/Gilberto (1963) นอกจากนั้นยังคุยต่อได้อีกว่า ถ้าไม่นับเพลง Yesterday ของ The Beatles ซึ่งครองแชมป์ในฐานะเพลงที่ได้รับการบันทึกเสียงมากที่สุดในโลกแล้ว The Girl from Ipanema ก็ไม่เป็นรองใครอีก


มารู้จักกับเพลงดังนี้เป็นฉากๆกัน

คนแต่ง



Antonio Carlos Jobim คือ ตำนานที่ยิ่งใหญ่สุดของบอสซาโนวา เขาเป็นคีตกวี, นักเรียบเรียงเสียงประสาน,  นักร้อง, นักเปียโน และนักกีตาร์   มีผลงานที่ได้รับการยกย่องขึ้นทำเนียบเพลงดีเด่นมากมาย เพลงของเขาเป็นส่วนสีสันของเพลงสแตนดาร์ดที่นักดนตรีนิยมเอามาเล่น และคอเพลงมีระดับชมชอบเสพ  เขามีชื่อจริงว่า Antonio Carlos Brasileiro de Almeida Jobim  ( เกิด 25 มกราคม 1927 สถานที่ Rio de Janeiro   ตาย 8 ธันวาคม1994  สถานที่ New York City) มักจะเป็นที่รู้จักกันดี ในชื่อเล่น Tom Jobim ซึ่งคนบราซิลเขาอ่านกันว่า โทน  แม่เห็นแววดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก เลยเอาไปฝากตัวเรียนเปียโนกับครูชาวเยอรมัน Hans Joachim Koellreuter ผู้ลี้ภัยสงคราม ซึ่งมีดีกรีระดับคีตกวี   อาจารย์ได้ปลูกฝังให้ได้ซึมซาบกับผลงานของ Debussy, Chopin, Ravel, Stravinsky, Rachmaninoff และ Villa-Lobos คีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ของบราซิล ซึ่งเป็นเพื่อนกันกับอาจารย์   ต่อมาในช่วงวัยหนุ่ม โจบิมหันมาหลงเสน่ห์แจ๊สแนวคูล อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เขาชอบศิลปินเวสต์โคสต์อย่าง Gerry Mulligan, Chet Baker, Barney Kessel  รวมไปถึงนักดนตรีสไตล์คูลคนอื่นๆ ตั้งแต่ช่วงอายุ 20 หนุ่มโทนตัดสินใจเบนเข็มจากความมุ่งหวังที่จะเป็นสถาปนิก หันมาทุ่มเทให้กับดนตรีอย่างเต็มตัว  เริ่มต้นหาประสบการณ์จากไนท์คลับ แล้วค่อยแทรกตัวเข้าไปในห้องอัดเสียง  เริ่มมีคนรู้จักจากผลงานร่วมกับ Vinícius de Moraes ในดนตรีประกอบละคร เรื่อง Orfeo do Carnaval เมื่อปี 1956 ซึ่งภายหลังได้ถูกนำไปสร้างเป็นหนัง Black Orpheus   ต่อมาอีกสองปี João Gilberto นักร้องหน้าใหม่ เสียงนุ่มเสนาะ เอาผลงานของโทนไปนำเสนอในอัลบั้มชุดแรกของเขา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสดนตรีสายใหม่  เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในเวลาต่อมาว่า บอสซาโนวา   ผลงานเพลงของโจบิมส่งออกนอกประเทศบราซิลสู่หูคนทั้งโลกเป็นครั้งแรกในปี 1962  ในอัลบั้ม Jazz Samba โดยฝีมือการตีความใหม่ของนักเป่าแซ็กเทเนอร์ Stan Getz และนักกีตาร์สายไนลอน Charlie Byrd โดดเด่นด้วยเพลง Desafinado ที่บังเอิญฮิตขึ้นมาด้วยความสดและแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร  เปิดทางให้โจบิมนำทัพยอดนักดนตรีบราซิเลียนขึ้นผงาดบนเวที Carnegie Hall แห่งนครนิวยอร์ก ในปีเดียวกันนั้น  บอสซาโนวาฟีเวอร์ได้ระบาดอย่างหนักไปทุกแห่งหน   งานเพลงของโจบิมเป็นแหล่งขุมทรัพย์ ให้เหล่าศิลปินรุมกันมาตักตวงกันอย่างไม่ขาดสาย  อัลบั้มเพลงบอสซาปั๊มป์ออกมาจนเอ่อล้นตลาด วางทับซ้อนกันเกลื่อนแผงในร้านแผ่นเสียง  จนเทร็นด์ถึงจุดอิ่มตัว แล้วค่อยจางหายไปในช่วงปลายทศวรรษหกสิบ   โจบิมผู้พึงใจอยู่เบื้องหลังโดยนิสัยอยู่แล้ว หันไปจับงานดนตรีประกอบหนังแถวบ้านเกิด จนกระทั่งกลางช่วงทศวรรษแปดสิบ กระแสคลื่นดนตรีบราซิลลูกใหม่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง ในฐานะพันธมิตรกับกลุ่มเวิร์ลด์มิวสิก  อาจารย์ใหญ่โทนก็ต้องออกเดินสายอีก ตามคำเรียกร้อง จนกระทั่งไปแสดงอำลาที่คาร์เนกี้ ฮอล ในเดือนเมษายน 1994   ก่อนที่โทนจะปิดฉากชีวิตตัวเองอย่างฉับพลันด้วยโรคหัวใจล้มเหลวในเดือนสุดท้ายของปี 


ความเป็นมาของเพลง

 Heloísa Eneida Menezes Paes Pinto หรือเรียกกันสั้นๆ Helo Pinheiro สาวสวยวัย 18 คือ แรงดาลใจของเพลง The Girl From Ipanema นี้  โดยที่สาวน้อยซึ่งบ้านอยู่ที่ถนน Montenegro เขตละแวก Ipanema ของนคร Rio de Janeiro จะเดินผ่านร้าน Veloso Bar เพื่อจะไปยังชายหาดเป็นประจำทุกๆวัน    เวโลโซบาร์ เป็นจุดนัดพบประจำของสองนักแต่งเพลงหนุ่มคู่หู Jobim และ Moraes ซึ่งมักจะมานั่งแกร่วกินเบียร์กันและเฮฮากับเพื่อนฝูงที่โต๊ะริมทางเท้า พร้อมทั้งฉวยโอกาสเหล่สาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย   สองหนุ่มเกิดปิ๊งในความงามของละอ่อน Heloísa ที่นวยนาดผ่านไปมาบ่อยครั้ง ทำให้เกิดแรงดาลใจขึ้นมา  ในช่วงเวลานั้น Moraes กำลังแต่งเนื้อเพลงประกอบละครตลก ชื่อเพลง Menina que Passa (The Girl Who Passes By) แต่เนื้อร้องร่างแรกที่ได้มา ไม่เป็นที่ถูกใจของทั้งสองคน  มาลงตัวกับเวอร์ชันใหม่ที่ได้ไอเดียจากสาวสวยนี้ โดยที่กว่าเจ้าตัวจะรู้ว่าเป็นนางเอกในเพลงดัง ก็อีก 2 ปีครึ่งให้หลัง

ณ วันนี้ สถานที่ซึ่งเป็นส่วนร่วมของตำนานเพลงนี้ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อให้สอดคล้องกับเพลง  Montenegro Street ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Vinicius de Moraes Street และร้านเหล้า Veloso Bar ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น A Garota de Ipanema แล้วยังมีสวนสาธารณะ Garota de Ipanema Park ใน Arpoador ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันด้วย



เนื้อเพลง

เนื้อเพลงดั้งเดิมโดยกวีและนักการทูต Vinicius de Moraes ซึ่งแต่งเป็นภาษาปอร์ตุเกส (มาถึงตรงนี้ ถ้ายังมีบางคนรู้สึกงงๆอยู่ ก็ขออนุญาตไขข้อข้องใจ ว่า ชาวบราซิลนั้นเขาพูดภาษาปอร์ตุเกสกันครับ แต่เดิมนั้น บราซิลเคยเป็นอาณานิคมของปอร์ตุเกสมาก่อน) 







The Girl From Ipanema
(Garota De Ipanema)

Olha que coisa mais linda,
mais cheia de graça
É ela menina
que vem que passa
Num doce balanço
caminho do mar

Moça do corpo dourado
do sol de Ipanema
O seu balançado
é mais que um poema
É a coisa mais linda
que eu já vi passar

Ah, porque estou tão sozinho
Ah, porque tudo e tão triste
Ah, a beleza que existe
A beleza que não é só minha
que também passa sozinha

Ah, se ela soubesse
que quando ela passa
O mundo sorrindo
se enche de graça
E fica mais lindo
por causa do amor

คำแปลที่ถอดความใกล้เคียงกับเนื้อร้องต้นฉบับ จะได้ประมาณนี้

Look at this thing, most lovely
most graceful
It’s her, the girl
that comes, that passes
with a sweet swinging
walking to the sea

Girl of the golden body
from the sun of Ipanema
Your swaying
is more than a poem
It’s a thing more beautiful
than I have ever seen pass by

Ah, why am I so alone
Ah, why is everything so sad
The beauty that exists
The beauty that is not mine alone
that also passes by on its own

Ah, if she only knew
that when she passes
the world smiles
fills itself with grace
and remains more beautiful
because of love




เนื้อร้องภาษาอังกฤษซึ่ง Norman Gimbel รับบรีฟเนื้อหาหยาบๆจากโจบิม แล้วนำมาแต่งใหม่ แทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลยกับต้นฉบับ แต่ก็ได้ความลงตัว และคนทั่วโลกก็ยอมรับไปแล้ว








         
Tall and tan and young and lovely
The girl from Ipanema goes walking
And when she passes
Each one she passes goes, ah

When she walks it's like a samba
That sways so sweet and swings so gently
That when she passes
Each one she passes goes, ah

Ooh but he watches so sadly
How can he tell her he loves her
Yes he would give his heart gladly
But each day when she walks to the sea
She looks ahead not at he

Tall and tan and young and lovely
The girl from Ipanema goes walking
And when she passes
She smiles but she doesn't see

Oh, but he watches so sadly
How can he tell her he loves her
Yes, he would give his heart gladly
But each day when she walks to the sea
She looks ahead not at he

Tall and tan and young and lovely
The girl from Ipanema goes walking
And when she passes
She smiles but she doesn't see

She just doesn't see
She just doesn't see
She just doesn't see     
  
ทำนอง


ทำนองเพลง และทางคอร์ดของ Girl From Ipanema ไม่ใช่เพลงหมูๆ สำหรับนักดนตรีเลยนะครับ คนที่จะเล่นเพลงนี้ได้ต้องมีฝีมือและความรู้ทางดนตรีระดับกลางขึ้นไป ฮาร์โมนีในท่อนเวอร์สไม่ซับซ้อนมากสำหรับการด้น แต่จะไปตกม้าตายในท่อนคอรัส   ซึ่งโจบิมแต่งทำนองประโยคเดียว แต่ใช้ซ้ำกันสามครั้ง โดยขยับเสียงขึ้นไป และบิดความสัมพันธ์ของคอร์ดกับเมโลดี้โน้ตแรก ด้วยมุมมองใหม่ต่างจากเดิม ก่อนที่จะกลับไปเข้าร่องเข้ารอยในทางเดินคอร์ดให้คาดเดาได้ 







Girl From Ipanema

Bossa Nova in half-time (4/4  > 2/4)
Key: F major

Verse:
Fmaj7-------G7-------Gm7------- Gb7------Fmaj7----- [Gb7]

Chorus:
F#maj7-------B7-------
F#m7-------D7-------
Gm7-------Eb7-------
Am7---D79b5---Gm7---C79b5

End:
Fmaj7--- Gb7b5 (4X)


ศิลปิน 


ศิลปินที่บันทึกเสียงเพลงนี้ มีมากมายนับไม่ถ้วน  จะขอพูดถึงเวอร์ชันนิยาม ซึ่งเป็นที่แพร่หลายกว่าใครเพื่อน และมีเกร็ดน่าสนใจสำหรับคนรักเพลง The Girl From Ipanema นี้   เซซชันประวัติศาสตร์ครั้งนั้น บันทึกเสียงที่นิวยอร์ก ในเดือนมีนาคม 1963  ภายใต้การนำของ Stan Getz  ซึ่งค่ายแผ่นเสียง Verve ได้ลงทุนอิมพอร์ตศิลปินบอสซาตัวจริงจากบราซิล นักร้องและนักกีตาร์ Joao Gilberto และนักแต่งเพลง Antonio Carlos Jobim มาร่วมเล่นเปียโนให้ด้วย ในระหว่างที่อัดเสียงเพลงนี้กันอยู่  Creed Taylor ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของอัลบั้ม Getz/Gilberto นี้ มองเห็นศักยภาพเชิงพาณิชย์ในแนวครอสโอเวอร์  เลยเสนอขอเพิ่มเสียงร้องที่ถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษ  ซึ่งเมื่อกวาดตามองไปทั่วห้องอัดเสียง ก็มีแต่ Astrud Gilberto ภรรยาสาวของ Joao ซึ่งติดตามสามีมาด้วย พอจะพูดภาษาอังกฤษอยู่ได้บ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีประสบการณ์ร้องเพลงในระดับอาชีพที่ไหนมาก่อนเลย  หลังจากสามีร้องเป็นภาษาปอร์ตุเกสในท่อนแรกแล้ว  เป็นคิวของ Astrud ใส่เสียงร้องเนื้อภาษาอังกฤษในท่อนสอง เธอร้องด้วยความเป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์ ใส ซื่อ เหมือนเด็กๆ แฝงด้วยความเหงา สำเนียงเหน่อ แต่ฟังแล้วมีเสน่ห์  เมื่ออัลบั้มออกสู่ตลาด  แฟนเพลงตอบรับอย่างท่วมท้นถล่มทลายเหนือความคาดหวัง ทำให้ The Girl From Ipanema ดังมากๆในช่วงหน้าร้อน ปี 1964   แอสตรูด กิลเบอร์โต คนร้องเพลงนี้ แต่โดนมองข้าม ไม่ได้รับเครดิตปรากฏชื่อบนปกอัลบั้มพิมพ์ครั้งแรก พลิกผันชะตาชีวิตกลายเป็นดาวขึ้นมาในทันใด  และ........the rest is history





















(ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร KoolJazz Vol.01 Issue 001 November 2006)